ชื่อสมุนไพร มะขาม ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้), ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ตะลูบ (โคราช), หมากแกง (ไทยใหญ่-แม่ฮ่องสอน), อำเปียล (เขมร-สุรินทร์), ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ซึงกัก, ทงฮ้วยเฮียง (จีน) ชื่อสามัญ tamarind ชื่อวิทยาศาสตร์ Tamarindus indica Linn. วงศ์ Fabaceae
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้), ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ตะลูบ (โคราช), หมากแกง (ไทยใหญ่-แม่ฮ่องสอน), อำเปียล (เขมร-สุรินทร์), ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ซึงกัก, ทงฮ้วยเฮียง (จีน
ชื่อสามัญ tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tamarindus indica Linn.
วงศ์ Fabaceae
ถิ่นกำเนิดมะขาม
เชื่อกันว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน จากนั้นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกในแถบอินเดีย รวมถึงในประเทศแถเขตร้อนของเอเชีย และประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้จะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่สำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา และเป็นที่รู้จักดีมากว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่กล่าวถึงมะขามอยู่หลายแห่ง เช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้ใครสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น จากหลักฐานดังกล่าวจึงอาจกล่าวได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายพันธุ์เข้ามาสู่ประเทศไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว นอกจากนี้มะขามยังเป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน และเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขาม เป็นต้นไม้แข็งแรงทนทาน และเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวมากชนิดหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีรายงานว่าพบมะขามที่มีอายุมากกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่ามีอายุกว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์คงสมภารวัดแค ว่า
“ทั้งพิชัยสงครามล้วนความรู้ อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งไป ทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน”
มีชาวสุพรรณฯ จำนวนมากเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในปัจจุบัน เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกเสกใบมะขามเป็นต่อแตนในครั้งกระโน้น
ประโยชน์และสรรพคุณมะขาม
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวาน และการบูร เล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้ และอาการอักเสบต่าง เป็นต้นว่า เป็นไข้ อาหารไม่ย่อย อาการผิดปกติเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ท้องเสีย และใช้แก้ลมแดดได้ดี ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม เตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมากิน แก้อาการเบื่ออาหาร (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวาน และการบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อหุ้มเมล็ดกับนม เนื้อหุ้มเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อหุ้มเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้ถูนวดในโรครูห์มาติสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากกลั้วคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอาหารอักเสบ
นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆ ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดทั้งวัน มะขามเปียก และดินสอพองผสมจนเข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับสดใส และสะอาดยิ่งขึ้น มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่น และนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวสดใส
ลักษณะทั่วไปของมะขาม
มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2, 4 ซ.ม. กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือ บางทีก็เว้าเข้าเล็กน้อย ฐานใบทั้ง 2 ข้าง เว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้าน หรือ จากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆ กลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกสีแดงเข้ม ริมกลีบดอกมีรอยย่นๆ กลีบดอก 2 กลีบ ล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกันจากส่วนกลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเมล็ดมาก ฝักทรงกระบอก แบนเล็กน้อย ยาว 3-14 ซม. กว้าง 2 ซม. เปลือกนอกสีเทา ภายในมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เมล็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลแดงเรียบเป็นมัน ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์มะขาม
โดยทั่วไป มะขามสามารถขยายพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แต่ปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้ามากขึ้น จึงนิยมปลูกจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน และการเสียบยอดเป็นหลัก เพราะสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีหลังการปลูก อีกทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีลำต้นไม่สูงเหมือนการเพาะเมล็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ และการเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมให้ผล ซึ่งช่วงนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อเร่งผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรใส่ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกครั้ง หลังจากการปลูกแล้วประมาณเข้าปีที่ 2 หรือ ปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลได้
นอกจากนี้มะขาม ยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น เช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา จึงนับว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศไทย และอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะขามจำนวนมาก
องค์ประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเมล็ดมะขาม ประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids) โดยที่มีปริมาณไขมัน 14-20%, คาร์โบไฮเดรต 59-60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งบางส่วน (semi-drying fixed oil) 3.9-20 %,น้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก (mucilaginous material) 60% ได้แก่ โพลีโอส (polyose) ซึ่ง Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์ดูส่วนประกอบหลักๆ พบว่าเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และไฟเบอร์ 11.3% โดยที่เมล็ดมะขามประกอบด้วยโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 %ขี้เถ้า 4.2% และคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่พบในเมล็ดมะขามคืออัลบูมิน (albumins) และโกลบูลิน (globulins) โปรตีนจากเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ ซิสเทอีน และเมทไธโอนีน อยู่สูงถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้เท่ากับ 2.50% นอกจากนี้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีรายงานว่าในเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกได้เป็นโฟลบาแทนนิน (phlobatannin) 35% ที่เหลือเป็นคะเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid) และในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และกรดมาลิก (Malic acid) นอกจากนี้ ส่วนต่างๆ ของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามพันธุ์แดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขาม พันธุ์อื่นๆ มีเม็ดสีจำพวกแอนทอลแซนติน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และอาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตินเล็กน้อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เท่านั้น และในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิวโคแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของมะขาม
Malic acid : Wikipedia
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของมะขามีดังนี้
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของมะขาม
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่ระบุขนาดที่ใช้ สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค./ก. และสารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ให้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดเจน ในขณะที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. ให้ผลยับยั้งเชื้อดังกล่าวต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% และสารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่ระบุขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซน และสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มล. และสารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มล. ไม่มีผลยับยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง ได้แก่ Bacillus subtilis, Escherichia coli และ Salmonella typhi แต่สารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังกล่าวอย่างอ่อน
มีการทดสอบในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขาม หรือ เมล็ดมะขาม ให้สัตว์ทดลองรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการบริโภคในไก่ คือ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยที่สามารถลดความเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดภาวะออกซิเดทีฟสเตรทได้ อย่างไรก็ตามการศึกษาอีกฉบับรายงานว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามออกนั้นไม่สามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่รับประทานเมล็ดมะขามดังกล่าวพบผลเสียคือ ดื่มน้ำมากขึ้น อีกทั้งมีขนาดของตับอ่อน และความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้วิจัยแนะนำว่าเกิดจากโพลีแซคคาไรด์ที่ไม่สามารถย่อยได้
การศึกษาทางพิษวิทยาของมะขาม
หนูถีบจักรเพศผู้ และเพศเมียที่กินอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเมล็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่พบพิษ แต่หนูถีบจักรเพศเมียที่กินอาหารผสมดังกล่าวขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
ไก่ (Brown Hisex chicks) กินอาหารผสมด้วยเนื้อมะขาม สุก 2% และ 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักลดลง (weight gain) และ feed conversion ratios ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ คือ มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 และ 4 ไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำกว่ากลุ่มควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol และ total protein จะไม่กลับสู่ภาวะปกติในช่วง 2 สัปดาห์ หลังจากไม่ได้กินอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หนูขาวเพศเมีย และเพศผู้ กินอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคคาไรด์จากเมล็ดมะขาม 4, 8 และ 12% นาน 2 ปี ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย การกินอาหาร ผลทางชีวเคมีในปัสสาวะ และเลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และพยาธิสรีระ
หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กก. น้ำหนักตัว
หนูขาว Sprague-Dawley SPF กินอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และ 5% ของอาหาร เป็นเวลา 90 วัน ไม่พบความผิดปกติใดๆ ความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในอาหารในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กก./วัน และในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มก./กก./วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่สารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางลงสู่กระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กก. ไม่พบพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงสู่กระเพาะอาหารหนูขาวเพศเมีย ขนาด 200 มก./กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และ TA98
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
เอกสารอ้างอิง มะขาม