ชื่อสมุนไพร ชะเอมไทย ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ชะเอมป่า (ภาคกลาง), อ้อยช้าง, ย่านงาย, กอกกั๋น (ภาคใต้), ตาลอ้อย (ภาคตะวันออก), ส้มป่อยหวาน (ภาคเหนือ), อ้อยสามสวน (ภาคอีสาน), เฌอเอม (กัมพูชา) ชื่อวิทยาศาสตร์ Albizia myriophylla Benth. วงศ์ LEGUMINOSAE – MIMOSACEAE
ชื่อสมุนไพร ชะเอมไทย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ชะเอมป่า (ภาคกลาง), อ้อยช้าง, ย่านงาย, กอกกั๋น (ภาคใต้), ตาลอ้อย (ภาคตะวันออก), ส้มป่อยหวาน (ภาคเหนือ), อ้อยสามสวน (ภาคอีสาน), เฌอเอม (กัมพูชา)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Albizia myriophylla Benth.
วงศ์ LEGUMINOSAE – MIMOSACEAE
ถิ่นกำเนิดชะเอมไทย
ชะเอมไทย จัดเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย โดยมีถิ่นกำเนิดบริเวณประเทศอินเดีย พมา ไทย ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยพบชะเอมไทย ขึ้นทั่วไปตามป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าโปร่ง และที่ราบเชิงเขาทั่วไป แต่จะพบได้มากทางภาคตะวันออกของประเทศ
ประโยชน์และสรรพคุณชะเอมไทย
มีการนำส่วนของเปลือกต้น และเนื้อไม้ของชะเอมไทย มาสกัดเป็นสารให้ความหวาน จากธรรมชาติ โดยเฉพาะสาร albiziasaponin B ซึ่งให้ความหวานถึง 600 เท่าของน้ำตาลซูโครส
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ลักษณะทั่วไปของชะเอมไทย
ชะเอมไทย จัดเป็นไม้เถายืนต้นขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ สูง 5-8 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้าน มีหนามด้านๆ ขึ้นทั่วไป เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทามีรูอากาศกระจายทั่วไป ส่วนเนื้อไม้มีสีเหลืองอ่อน มีรสหวาน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ปลายคู่มีก้านใบประกอบยาว 10-15 เซนติเมตร ช่อใบย่อยมี 10-20 คู่ ปลายใบมนส่วนใบย่อยเล็กละเอียดรูปขอบขนาน กว้าง 0.5-2 มิลลิเมตร ยาว 4-8 มิลลิเมตร ออกเรียงตรงช่อใบย่อยข้ามกันเนื้อใบบางคล้ายกระดาษ แผ่นใบเรียบ โคนใบป่องออก มี 20-60 คู่ ดอกออกเป็นแบบช่อแยกแขนง ยาว 10-15 เซนติเมตร ประกอบด้วยช่อดอกย่อยแบบช่อกระจุกแน่น 3-4 กลุ่ม ซึ่งในแต่ละช่อกระจุกมีดอกย่อย 10-12 ดอก ลักษณะดอกย่อยสีขาวนวลถึงสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลีบดอกมีขนาดเล็ก สีขาวอมเหลือง โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด กว้าง 1.0-1.5 มิลลิเมตร ยาว 3.5-5.5 มิลลิเมตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปไข่กลับถึงรูปไข่แกมรูปรี ปลายแหลม ยาว 1-2 มิลลิเมตร และมีก้านช่อดอกยาว 1.3-2.3 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย หรือ รูประฆัง ยาวประมาณ 0.7 มิลลิเมตร มีขนประปราย กลีบดอกมีผลเป็นฝักแบน โคนและปลายแหลมฝักกว้าง 2.3-2.5 เซนติเมตร ยาว 7.2-14 เซนติเมตร ตรงกลางฝักบริเวณที่มีเมล็ดจะเห็นเป็นรอยนูนชัดเจน ฝักอ่อนสีเขียว มีขนหนาแน่น ฝักแก่สีเหลืองถึงน้ำตาล เกลี้ยง แห้งแล้วแตก ใน 1 ฝักจะมีเมล็ด 3-10 เมล็ดต่อฝัก มีก้านผลยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร เมล็ดรูปกลมถึงรูปไข่กลับ สีน้ำตาล กว้าง 4-6 มิลลิเมตร ยาว 5-8 มิลลิเมตร ป่องตรงกลางเล็กน้อย
การขยายพันธุ์ชะเอมไทย
ชะเอมไทยสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี อาทิเช่น การใช้เมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำ เป็นต้น สำหรับในธรรมชาติเมื่อฝักแก่ของชะเอมไทย แตกออก เมล็ดชะเอมไทยจะถูกพัดปลิวไปตามกระแสลมไปตกตามพื้นดิน ก็จะเจริญขึ้นเป็นต้นใหม่ แต่สำหรับการนำมาปลูกนั้น ส่วนมากแล้วจะนิยมนำมาปักชำ เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็ว และขึ้นเป็นต้นได้เร็วกว่า ส่วนวิธีการปักชำชะเอมไทย นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกับการปักชำไม้เถา หรือ ไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ชะเอมไทยเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบความชื้นปานกลาง ไม่ชื้นแฉะจนเกินไป
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมี จากส่วนเนื้อไม้ของชะเอมไทย ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดเช่น albizzine, palustrine, lupinifolin, 8-methoxy-7’ 3’ 4’-trihydroxyflavone, 7,8,3’ ,4’-tetrahydroxyroxyflavone, lupeol, β-sitosterone, stihmasta-5,22-dien-3-one, β-sitosterol และ stigmasterol
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ายังพบสารในกลุ่ม imino sugars ได้แก่ 1-deoxymannojirimycin (DMJ), 4-O-β-D-glucopyranosyl1-deoxymannojirimycin, 3-O-β-D-glucopyranosyl-1-deoxymannojirimycin, 2R,5R-dihydroxy methyl-3R,4R-dihydroxypyrrolidine (DMDP), 2,5-dideoxy-2,5-imino-D-glucitol และยังพบสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม triterpenoid saponin คือ albiziasaponin A, albiziasaponin B, albiziasaponin C, albiziasaponin D และ albiziasaponin E ซึ่งเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติ โดยมีรายงานว่าสาร albiziasaponin B หวานกว่าซูโครส ถึง 600 เท่า ในขณะที่ albiziasaponin A หวานกว่าซูโคสประมาณ 5 เท่า
นอกจากนี้ยังปรากฏการใช้ชะเอมไทย ใน“พิกัดทศกุลาผล” คือ การจำกัดจำนวนตัวยาตระกูลเดียวกัน 10 อย่าง มีชะเอมทั้ง 2 (ชะเอมไทย ชะเอมเทศ) ลำพันทั้ง 2 (ลำพันแดง ลำพันขาว) ลูกผักชีทั้ง 2 (ผักชีล้อม ผักชีลา) ลูกเร่ว ทั้ง 2 (เร่วน้อย เร่วใหญ่) อบเชยทั้ง 2 (อบเชยไทย, อบเชยเทศ) เป็นส่วนประกอบในตำรับซึ่งระบุว่ามีสรรพคุณ แก้ไข้เพื่อดี และเสมหะ ขับลมในลำไส้ บำรุงธาตุ บำรุงปอด แก้รัตตะปิตตะโรค แก้ลมอัมพฤกษ์ อัมพาต บำรุงกำลัง บำรุงดวงจิตให้แช่มชื่น แก้ไข้ อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของชะเอมไทย
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดชะเอมไทย จากส่วนต่างๆ หลายฉบับระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH ของสารสกัดเมธานอลจากส่วนของใบ และกิ่งของชะเอมไทยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC50 เท่ากับ 21.93 และ 272.68 µg/mL ตามลำดับ ส่วนสารสกัด 60% น้ำ-เมทานอลจากรากของชะเอมไทย ความเข้มข้น 2.0 mg/ml มีเปอร์เซ็นต์ยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH เท่ากับ 81.93% และมีการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ lipid peroxidation ของสารสกัดเอทานอลจากพืช 10 ชนิด ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานของหมอพื้นบ้านไทย จากผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากสารภี (Mammea siamensis) เนระพูสี (Tacca chantrieri) และชะเอมไทย (A. myriophylla) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด จากการทดสอบด้วยวิธี DPPH มีค่า EC50 เท่ากับ 10.17, 10.24 และ 14.45 µg/mL ตามลำดับ และผลของการทดสอบด้วยวิธี lipid peroxidation สารสกัดของพิกุล (Mimusops elengi) สารภี (M. siamensis) และชะเอมไทย (A.myriophylla) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.39 ,0.43 และ 0.70 µg/mL ตามลำดับ
ฤทธิ์ต้านเบาหวานมีรายงานการศึกษาวิจัยสารสกัดน้ำของเปลือกชะเอมไทย ในขนาด 5 และ 25 mg/kg พบว่ามีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวาน ประเภทที่ 2 ที่กระตุ้นด้วย streptozotocin-nicotinamide โดยไม่พบความเป็นพิษต่อตับและไต เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ สารสกัดน้ำของเปลือกชะเอมไทย ในขนาด 5 mg/kg ยังสามารถลดสภาพความเสียหายของตับ และไตที่ถูกทำลายจากเบาหวานได้อีกด้วย ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่าการให้สารสกัดน้ำของเปลือกชะเอมไทยร่วมกับน้ำมันมะพร้าว บริสุทธิ์ (virgin coconut oil) สามารถลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เป็นเบาหวานด้วย streptozotocin ได้ แต่จะเพิ่มน้ำหนักตัวของหนูด้วย
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัด 60% น้ำ-เมทานอลจากรากของชะเอมไทย มีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ Proteus vulgaris TISTR100 (MIC 16 µg/ml), Staphylococcus aureus ATCC13150 (minimum inhibitory concentration; (MIC) เท่ากับ 16 µg/ml), Bacillus subtilis ATTC6633 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml), Streptococcus faecalis TISTR 459 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml), Streptococcus cremoris TISTR 058 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml), Escherichia coli ATCC 29214 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml), Candida krusei TISTR 5256 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml), Candida tropicalis ATCC 9968 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml), Saccharomyces cerevisiae ATCC 18824 (MIC เท่ากับ 32 µg/ml)
และมีการศึกษาฤทธิ์ของสารกลุ่ม flavonoid 3 ชนิด สารกลุ่ม trierpenoid 1 ชนิด และสารกลุ่ม srerols 4 ชนิด ที่แยกได้จากเนื้อไม้ชะเอมไทย (A.myriophylla) พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ streptococcus mutans โดยมีค่า MIC ระหว่าง 1-128 µg/mL และสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดีที่สุด คือ สารกลุ่ม flavonoid ที่มีชื่อว่า สาร lupinfolinมีค่า MIC เท่ากับ 1 µg/mL จากนั้นนำสาร lupinfolin มาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S.mutans 10 สารพันธุ์ ที่แยกได้จากช่องปากของผู้ป่วยพบว่ามีค่า MIC ระหว่าง 0.25-2 µg/mL
อีกทั้งยังมีการศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราในกลุ่ม Candida จำนวน 6 สารพันธุ์ จากสารสกัดเมทานอลจากลำต้นของชะเอมไทย (A.myriophylla) พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราทั้ง 6 สายพันธุ์ ได้แก่ C.albicans, C.glabrata, C.guilliermondii, C.krusei, C.parapsilosis และ C.tropicalis โดยมีค่า MIC ระหว่า 100-500 µg/mLและมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อราทั้ง 6 สายพันธุ์ 99.9% ภายในเวลา 2 ชั่วโมง
ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส มีการศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกัดด้วยตัวทำละลายต่างๆ จากส่วนเถาชะเอมไทย (A.myriophylla) ด้วยวิธี dopachrome ที่ระดับความเข้มข้นของสารสกัด 1 µg/mL พบว่าสารสกัดเมทานอล และเอทธิล อะซิเทต มีค่า IC50 เท่ากับ 5.82 และ 6.79 µg/mL ตามลำดับ และสารสกัดไดเอททิล อีเทอร์, 80% เอทานอล และ 80% เมทานอล มีค่า IC50 เท่ากับ 6.76 , 11.77 และ 11.77 µg/mL ตามลำดับ
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของชะเอมไทย
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้ชะเอมไทยเป็นยาสมุนไพร โดยเฉพาะในรูปแบบการรับประทาน เนื่องจากส่วนใบของชะเอมไทย มีสรรพคุณขับโลหิต ขับระดู ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้ สำหรับบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงก็ควรใช้ชะเอมไทยในรูปแบบสมุนไพร อย่างระมัดระวัง โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่น้อยจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง ชะเอมไทย